29/8/53

หาอาชีพเสริมอะไรดี


           ปัญหาเศรษฐกิจในช่วงนี้อาจทำให้หลายๆ คนต้องรัดเข็มขัดกันมากขึ้นเลยทีเดียว เพราะสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันส่งผลให้สิ่งของต่างๆ ขยับราคาสูงขึ้น และในทางกลับกันเงินเดือนหรือรายได้ประจำก็ยังคงเท่าเดิม ทำให้หลายๆคนต้องวางแผนการใช้จ่าย และหาวิธีที่จะเพิ่มรายได้ช่วยอีกทาง เพราะรายได้ที่ได้รับอาจจะไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปในแต่ละเดือน เช่น ค่าบัตรผ่อนสินค้า ค่าน้ำมันรถ ค่าเล่าเรียนบุตร และค่าใช้จ่ายอื่นๆ มากมาย แต่ถ้าหากใครที่ไม่มีหนี้สินก็ถือว่าโชคดี เพราะการไม่มีหนี้ถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐ แต่ก็ยังมีความจำเป็นต้องมีรายได้เพื่อใช้จ่ายในอนาคต การหารายได้เสริมในช่วงเวลาว่าง หรือ อาชีพเสริมที่ไม่กระทบกับงานประจำ ก็จะทำให้เรามีรายได้เพิ่มขึ้นมาอีกทางหนึ่ง ตรงนี้ก็ขอแนะนำไอเดียส่วนตัว


ทางเลือกที่ 1
ก่อนอื่นต้องมาลองมองดูตัวเองกันก่อน ว่าตัวเราพอมีความรู้ความสามารถอะไร เพื่อจะได้เอาความสามารถนั้นออกมาใช้ได้ เริ่มต้นการสำรวจตัวเองกันเลยดังนี้
1. บริเวณใบหน้าหรือ หน้าตา ดูว่าอะไรที่สามารถทำเงินได้ก็จะมี ปาก และหน้าตา ปากนี้ก็ใช้สำหรับพูด ว่าเรามีความสามารถที่จะพูดจูงใจโน้มน้าว ให้คนสนใจเราได้หรือไม่ หรือใช้หน้าช่วยในการหาเงิน

2. มือสองข้าง เรามาลองดูกันว่าเราพอที่จะมีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง เช่น การวาดเขียน การประดิษฐ์ และอื่นๆ ที่หลายๆคนอาจมีในตัว ตรงนี้ก็อาจจะบวกมันสมองอันน้อยนิดเข้าไปด้วย

จากการสำรวจรอบๆตัวเราจะพบได้ สองอย่างคร่าวๆ ที่สามารถนำเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ และสร้างรายได้จากความสามารถพิเศษจากตัวเรา และเป็นสิ่งที่อาจจะใช้ต้นทุนน้อยที่สุดในการสร้างรายได้ให้กับเรา ทั้งนี้ก็องอาศัยมันสมองอันน้อยๆ ของตัวเราด้วย คิดค้นไอเดียใหม่ๆ และสร้างสรรค์

ทางเลือกที่ 2
จากการสำรวจตลาดในปัจจุบัน ว่าสังคมปัจจุบันมีการใช้ชีวิตแบบไหน และการใช้จ่ายของคนเป็นแบบไหน เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกช่องทางหาอาชีพเสริมของเรา จากการสังเกตพบว่า ปัจจุบันจะ เห็นได้ว่าคนส่วนใหญ่จะเอาค่านิยมต่างประเทศมาใช้ ในชีวิตปัจจุบันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเป็นอยู่ การพูด การทักทาย การแต่งกาย เป็นต้น เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เปลี่ยนแปลงไปมากขึ้นจากสังคมไทยเดิม อาจจะมาจากการบริโภคสื่อมากขึ้น การเข้าถึงทุกรูปแบบ อาจจะมีการควบคุม หรือยากที่จะให้ยังคงอยู่ซึ่งวัฒนธรรมเดิม
              ฉะนั้น ตรงจุดนี้นั้นเองเราก็จะเห็นแล้วว่าเกิดช่องว่างที่เราจะสามารถทำรายได้จากการเปลี่ยนแปลงไปของสังคม เช่นการแต่งกาย นิยมเทรนด์ใหม่ๆ ทรงผม เสื้อผ้า ล้วนแต่เป็นช่องว่างที่เราจะสามารถหารายได้จากตรงนี้ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกช่องทางไหน จะขอยกเป็น 2 แนวทาง

แนวทางที่ 1 อาชีพใช้ฝีมือ
1. เปิดร้านทำผม ออกแบบทรงผม เป็นช่องทางที่จะตอบโจทย์ได้ตรงจุด เพราะกำลังเป็นที่มาแรงสำหรับทรงผมแนวเกาหลี หรืออื่นๆ ซึ่งวิธี นี้ก็จะต้องอาศัยความสามารถพิเศษของตัวเองเข้ามาช่วยบ้าง

2. เปิดร้านเรียนทำผม อาชีพนี้อาจจะเป็นวิธีที่สร้าง อาชีพของวิธีแรกขึ้นมา ก็เป็นการเอาช่องว่างของแทรนด์ใหม่ๆเข้ามา อาชีพนี้ก็ต้องหมั่นศึกษาการเปลี่ยนแปลงการบริโภคสื่อของผู้บริโภคเป็นประจำด้วย

3. ความสวยความงามบนใบหน้า และรวมถึงตัว ถ้าพูดถึง ณ เวลาปัจจุบันนี้ กำลังได้รับอิฐพล มากจากเกาหลี ในเรื่องหน้าตา การตกแต่ง ศัลยกรรม และหน้าใส เป็นช่องทางที่จะนำมาสร้างรายได้มากพอสมควรค่ะ เช่น เปิดร้านเสริมความงาม ฟอกหน้า ขัดหน้า หน้าใส หรือผู้ที่มีความสามารถในทางการแพทย์ ก็อาจจะเปิดเป็น ศูนย์ศัลยกรรมใบหน้า ให้ใบหน้าเรียวสวยได้ พูดถึงราคานี้ก็ค่อนข้างแพงเลยทีเดียว นั่นก็หมายความว่าจะสามารถทำเงินให้เรามากด้วย

แนวทางที่ 2 อาชีพที่ไม่ต้องใช้ฝีมือ
1. รับของมาขาย (ขออนุญาตใช้ภาษาชาวบ้านเลย) การรับของมาขายเป็นอาชีพที่ไม่ต้องใช้ฝีมือ เป็นอาชีพที่ ใครๆก็สามารถทำได้ แต่ก็ถึงอย่างไร ก็ยังคงต้องใช้ความสามารถส่วนตัวบ้าง ในการเรียกลูกค้าให้มาซื้อสินค้าของเรา และที่สำคัญก่อนการเลือกซื้อสินค้านั้น เราต้องมาสำรวจกันก่อน ว่า ความนิยมการบริโภคตอนนี้เป็นอย่างไร ตรงนี้ก็ไม่ยาก เพราะว่าตลาดผู้ผลิตนั้นเขาสำรวจไว้แล้ว เรามีหน้าที่แค่ ดูว่าเขานิยมสินค้าไหนกันบ้าง และช่องทางที่จะรับของมาขายนั้นจากที่ใดกันบ้าง เช่น

สินค้าประเภทของมือสอง จำพวกเครื่องอิเล็กทรอนิค ต่างๆ ก็อาจจะไปดูที่ สะพานเหล็ก
สินค้าประเภทกิฟช็อป ก็อาจจะไปดูที่ย่าน สำเพ็ง
สินค้าประเภทเสื้อผ้า ก็อาจจะไปดูที่ ประตูน้ำ โบ้เบ้
สินค้าประเภทจำพวกเครื่องงานฝีมือต่างๆ ก็อาจจะไปดูที่ จตุจักร

อย่างที่ได้บอกไป ว่าถึงแม้เป็นงานที่ไม่ต้องใช้ฝีมือในการทำ แต่ก็ต้องใช้ฝีมือในการขายที่จะขายสินค้าเราให้ได้กำไร
เป็นอย่างไรกันบ้าง กับสองแนวทางใหม่ๆ ที่เป็นอาชีพทางเลือกที่ 2 ที่สามารถตอบโจทย์ ได้ตรงจุดกับการบริโภค การใช้ชีวิต จากการรับเอาวัฒนธรรมต่างประเทศเข้ามาใช้เป็นการดำรงชีวิตของเรา
นอกจากนี้ก็ยังมีอาชีพที่สามารถทำกันได้โดยที่ ทำกันเป็นปกติอยู่แล้วที่สังคมไทยเราทำกันมา มีตัวอย่างดังต่อไปนี้

ค้าขายอาหาร
ขายผักและผลไม้ ขายอาหารตามสั่ง ขายก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู ยำต่างๆ อาหารปิ้งๆย่างๆ
ขายข้าวแกง อื่นๆ
ค้าขายประเภทเครื่องดื่ม
ขายน้ำชากาแฟ ขายน้ำผลไม้ และจำพวกน้ำปั่น ขายปลีกเครื่องดื่มแช่เย็นทั่วไป และการเปิดร้านขายอื่นๆทั่วไปที่สามารถสร้างรายได้ หรือเพิ่มเติมรายได้ให้มากขึ้น

จะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีอีกหนึ่งอาชีพที่กำลังได้รับความนิยมมากในตอนนี้
จะขอแนะนำตัวอย่างดังนี้
อาชีพประเภทรถเข็น
ผลไม้รถเข็น
ประเภทปิ้งๆย่างๆรถเข็น
ประเภทเครื่องดื่มรถเข็น
เอา 3 อย่างนี้ก็พอ ส่วนรายละเอียดลองอ่านดูกัน เผื่อจะช่วยให้หลายๆท่านเกิดไอเดียใหม่ๆ


24/8/53

ส้มตำไก่ย่าง

เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ไปไหนก็หาซื้อได้ทุกที่เลยทีเดียว เพราะเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงนี้ เราจะเห็นได้จากร้านค้าที่เปิดมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะไปร้านไหนบางคนแบบว่าถ้าไม่สั่งส้มตำนี้เป็นไม่ได้กันเลยทีเดียว สาเหตุที่ส้มตำไก่ย่างได้รับความนิยมในช่วงนี้ก็เพราะว่า เป็นอาหารที่สร้างรายได้งามเลยทีเดียว อาจเป็นเพราะว่าแรงงานส่วนใหญ่มาจากทางภาคอีสาน ก็เลยนำเอาอาหารพื้นบ้านนี้ติดมาด้วย บางคนก็อาจยังไม่เคยลองกับหลายๆสูตร และเดี๋ยวนี้ก็มีการปรังปรุงสูตรใหม่ให้หลากหลายกันมากขึ้นเพื่อความน่าสนใจ และที่สำคัญรสชาติก็ต้องอร่อยด้วยนะค่ะ หลายๆคนก็สงสัยว่าถ้าจะทำนี้ต้องทำอย่างไร เรามาดูกันเลย

เลือกทำเล
อย่างที่บอก ว่าการเลือกทำนี้เราต้องคำนึงปริมาณคน หรือปริมาณลูกค้ามุ่งหวังว่าน่าจะสามารถขายได้แน่นอน อย่างเช่น หน้าโรงงาน หน้าปากซอย หน้าแหล่งชุมชน เป็นต้น ส่วนจะเลือกสถานที่นี้เราก็มาดูว่าเราสะดวกแบบไหน จะเป็นรถเข็น หรือทำซุ้ม ก็เลือกเราตามเหมาะสม

อุปกรณ์
1.ครก-สาก ใบใหญ่ๆ พอประมาณเพื่อสะดวก และสร้างสีสัน
2.ตู้กระจกใส่ส่วนผสม เช่น ลูกมะละกอ มะเขือ มะนาว พริก ถั่ว เพื่อให้ดูน่าสนใจมาขึ้น
3.มีดปลอก และหั่นมะละกอ
4.กระปุก หรือภาชนะใส่เครื่องปรุง
5.ถุงพลาสติกสำหรับใส่
6.ผักสำหรับแถม
7.เตาย่างถ่าน ดูขนาดที่เหมาะสม
8.ไก่ที่หมักรอย่างมาแล้ว รอย่าง
9.ข้าวเหนียว( เพิ่มเติม)

เงินลงทุน งบประมาณ
จากอุปกรณ์เบื้องต้น เรามาดูส่วนที่เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างร้านคือ ครก สาก เตา สองอย่างนี้น่าจะประมาณ ไม่เกิน 1,500 บาท อุปกรณ์อื่นๆและวัตถุดิบในแต่ละวัน น่าจะประมาณ ตีไป 1,500 บาทรวมแล้วน่าจะไม่เกิน 3,500 บาทในครั้งแรก และส่วนต้นทุนต่อวันเราก็มาดูเอาอีกทีว่าเราต้องการมากน้อยแค่ไหน

ขั้นตอนการทำ
ต้องบอกก่อนเลยว่า ก่อนที่จะมาตั้งร้านนี้ เราก็คงได้ผ่านการเรียนรู้การทำส้มตำมาหลายสูตรก่อน ว่าเราจะทำกี่สูตรที่สามารถทำได้ อย่างที่เห็นทั่วๆไปก็จะมี ตำไท ตำปูปลาล้า ตำไทไข่เค็ม ตำซั่ว ตำถั่ว ตำลาว ตำปูม้า และอื่นๆ หลังจากที่ได้สูตรมาแล้วก็ทำการทำตามออเดอร์ ลูกค้ากันเลย ระหว่างนั้นก็ย่างไก่ไปด้วย อาจจะทำเป็นไม้ ละ 15-25 บาทพอประมาณ แถวผักกับส้มตำ และที่สำคัญขายพร้อมกับข้าวเหนียวร้อนๆ น่ารับประทานกันไปเลย ใส่ถุงก็เป็นอันเรียบร้อย

รายได้และกำไร
ต้องมาดูที่รสชาติ รสชาติต้องเป็นที่ยอมรับกัน และทำเล ปริมาณคนเดินไปมามากเพียงพอ และต้นทุนที่เราลงไปในแต่ละวัน ก็พยายามให้ขายได้หมดพอดี

23/8/53

ชาไข่มุก

ชาไข่มุก

เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่คิดว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จัก รถเข็นเล็กๆ และป้ายสินค้า นอกเหนือจากชาไข่มุกแล้ว ก็ยังมี พวกชาเขียว โอวันติน ชาเย็น และอื่นๆ ขายรวมกัน แก้วละประมาณ 10-15 บาท ถือว่าถูกมากๆ บรรยากาศแบบว่ายืนรอรถเมย์อยู่ได้ดูดซักแก้วก็ทำให้ชื่นใจเลยที่เดียว สำหรับใครที่สนใจเรามาดูกันว่าต้องเริ่มกันอย่างไร

ทำเล
อย่างที่ได้บอกว่า ไอเดียเก๋ รถเข็นไปเรื่อยๆตามทำเลที่ เหมาะสม อย่างเช่น หน้าโรงงาน หน้าโรงเรียน หน้าปากซอย แหล่งชุมชนคนเดินไปมาและเป็นสินค้าที่ขายได้ดีทุกช่วงเวลา ส่วนจะทำเป็นซุ้มก็ได้เพราะถ้าเรามีที่ประจำ หรือเช่าที่ได้ในราคาถูกและลูกค้าเดินผ่านไปมาหนาแน่นก็ถือว่าคุ้มแน่นอน

วัสดุ อุปกรณ์
ปกติแล้วถ้าเป็นรถเข็นจะเป็นถังสำหรับใส่หลายๆรส  แต่ถ้าเป็นซุ้มก็จะใช้โถใส่ ตามจำนวนรสชาติที่เรามี และแก้วใส่ หลอด

เงินลงทุน
ส่วนใหญ่ถ้าเป็นรถเข็นจะแพงกับถังใส่ รวมทุกอย่างแล้วน่าจะไม่เกิน 9,000


ขั้นตอน วิธีทำ
นำแก้วมาตักไข่มุกใส่แก้วแล้วก็เติมรสชาติได้เลย เพราะว่ารสชาติต่างๆ เราเตรียมไว้แล้ว

ข้อเสนอแนะ
การทำเครื่องดื่มชาไข่มุก ก็อาจจะนำไปประยุกต์ใช้ผสมกับสมุนไพรต่างๆ ได้ เช่น น้ำตะไคร้ น้ำขิง กระชาย กระเทียม หอม น้ำมะเขือเทศ น้ำเก๊กฮวย เพื่อเพิ่มสีสันและรสชาติ อีกทั้งยังเป็นสมุนไพรอีกด้วย เพิ่มสรรพคุณหลายอย่าง รสชาติแปลกใหม่และอาจเป็นที่นิยมของตลาดได้

ลูกชิ้นปิ้ง ย่าง

ถ้าพูดถึงขายลูกชิ้นปิ้ง เป็นอาชีพที่สร้างรายได้งามเลยทีเดียว  จะเห็นได้จากร้านค้าที่ขาย มีกันทั่วไปเพราะสามารถทำราได้งามมากๆ ถึงมีคนทำกันต่อไป และด้วยเหตุนี้ จึงขอมาแนะนำบอกต่อกัน  ลูกชิ้นปิ้งนี้หลายคนก็คงจะคิดว่ามันไม่น่าจะขายได้เพราะเนื่องจากร้านค้ามีมากแล้ว คิดว่าจะขายไม่ได้  การที่คิดแบบนี้ก็ไม่ผิดเพราะว่า หลายๆคนก็คงจะคิดแบบนั้นเช่นกัน จึงเปลื่ยนจากปิ้งมาเป็นทอดงัย  จริงๆแล้วการที่จะขายได้หรือไม่ได้อาจจะมีปัจจัยหลายอย่าง เช่น  ทำเล ส่วนผสมเนื้อ แป้ง  น้ำจิ้ม  ความสะอาด  รวมถึงตัวคนขายเอง  ว่าแล้วเรามาดูขั้นตอนกันเลย

ทำเล
เลือกทำเล ย่านชุมชน แหล่งที่พักไกล้โรงงาน

อุปกรณ์
1.ลูกชิ้นที่เราเลือกซื้อมา  ลูกชิ้นปลา  ลูกชิ้นหมู  เนื้อ
2.ไม้เสียบลูกชิ้น
3.เตาขนาดประมาณ ไม้บรรทัดครึ่ง
4.ชุดรถเข็น
5.ถ่านย่าง
6.ผักแถมนิดหน่อย
7.ถาดรอง ประมาณ 2 ใบ
8.ถุงใส่ลูกชิ้น

งบประมาณ และเงินลงทุน
น่าประมาณ น่าจะไม่เกิน 3,500 บาท

ขั้นตอนการทำ
หลังจากที่รับลูกชิ้นมา แล้วก็ทำการเสียบไม้  ใส่เตาย่าง ไม้ละประมาณ 5-10 บาท

กำไรและรายได้
ขึ้นอยู่กับทำเล และต้นทุน

ขายหมึกย่าง


ขายหมึกย่าง

ขายหมึกย่างเป็นอาชีพที่ได้ลองทำจริงมาแล้ว และก็ทำกำไรมากมายเลยทีเดียว จึงนำมาบอกต่อกัน
ทำไมถึงเลือกที่จะขายปลาหมึกย่าง จากการสำรวจแล้วพบว่าตราบใดที่คนเรายังบริโภคอาหารกันอยู่ก็คิดว่าถ้าขายประเภทอาหารน่าจะไม่ตาย ก็เลยตัดสินใจเลือก และก่อนอื่นเราก็เริ่มวิธีและขั้นตอนกันเลย

การเลือกทำเล
ทำเลนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก เป็นตัวชี้วัดว่าขายได้หรือไม่ได้ จากการที่ทำมา คือ เลือกใกล้ที่พักเป็นอันดับแรก
เพราะจะได้ไปมาสะดวก ถ้าเป็นย่านที่พักแหล่งโรงงานยิ่งดี (เน้นๆเลย) ถ้าเป็นที่เช่าก็หาที่ถูกๆไม่แพงมากตามขนาดพื้นที่ที่เราต้องการ คนเดินมาก (ช่วงตอนพนักงานเลิกงาน ตอนเย็น) เพื่อซื้อกับข้าวกัน

อุปกรณ์
มาดูกันว่า อุปกรณ์ มีอะไรกันบ้าง (ที่เคยทำมา)
1. โต๊ะ 1- 2 ตัว (อาจเป็นโต๊ะก๋วยเตี๋ยว) 800 บาท
2. เก้าอี้ ไว้สำหรับนั่งพัก 1 ตัว 49 บาท
3. เตาย่าง ขนาดประมาณ ไม้บรรทัดครึ่ง 1 ตัว 399 บาท
4. ถ่านสำหรับย่าง ประมาณ 2 ถุง ต่อวัน ตามปริมาณปลาหมึก/วัน 40 บาท
5. ร่มกันแดดขาตั้ง สำหรับร้าน ไม่ต้องใหญ่มาก 1 ตัว 299 บาท
6. กล่องโฟม ไว้สำหรับแช่ปลาหมึก 1 กล่อง 60 บาท
7. ถาดรองปลาหมึก สำหรับขาย 2 ถาด 100 บาท
8. เคียง สำหรับหั่น ปลาหมึก 1 ตัว 49 บาท
9. มีด 1 เล่ม 40 บาท
10. ถุงพลาสติก สำหรับใส่ 199 บาท
11. โถ ใส่น้ำจิ่ม 1 อัน พร้อมที่ตักน้ำจิ้ม 39 บาท
12. ใบตองกล้วยสำหรับวาง ปลาหมึกเพิ่มสีสัน ตามเหมาะสม /วัน 30 บาท
13. ผัก แถวกับปลาหมึก ตามเหมาะสมให้ลูกค้า/วัน 30 บาท
14. ปลาหมึกย่าง ต่อวัน อย่างน้อย 10 กิโลต่อวัน ต้นทุนกิโลละ 65 บาท
15. น้ำแข็งแช่หมึก/วัน
16. น้ำจิ้ม /วัน (ส่วนผสมแล้วแต่สูตรว่าจะประกอบด้วยอะไรบ้าง) 100 บาท
17. ค่าเช่าที่ /วัน ประมาณ 120 บาท

เงินทุน
เราก็สามารถจำแนกเครื่องมือ ออกมาได้แล้วว่ามีอะไรบ้าง ทีนี้เรามาดูกันว่าต้นทุนที่เราจะลงมีทำกันมีกี่ส่วน
ส่วนที่ 1 ต้นทุนที่เริ่มสร้างร้าน
ส่วนที่ 2 ต้นทุนวัตถุดิบต่อวัน
ส่วนที่ 1 ต้นทุนที่เริ่มสร้างร้าน จากข้างต้น รายการ 1+2+3+5+6+7+8+9+10 ประมาณ 2,000 บาทส่วนที่ 2 ต้นทุนวัตถุดิบต่อวัน จากข้างต้น รายการ 4+12+13+14+15+16+17 ประมาณ 900 – 1,000 บาท

ขั้นตอนวิธีทำ
ไปรับซื้อปลาหมึก (ที่เคยไปรับซื้อ ที่ปากน้ำ สะพานปลา ) ประมาณตี สี่ – ตี ห้า ได้กิโลละ 65- 70 บาทแล้วค่อยให้เขาเอามาส่งให้เมื่อทำบ่อย ๆ ถ้าสายแล้ว ตามตลาดราคาอยู่ที่ กิโลละ 130-140 บาทเลย พร้อมกับหาซื้อผัก ด้วย (น้ำจิ้มถ้าทำไม่เป็นก็หาซื้อเอาก็ได้) ถ้าสนใจสูตรน้ำจิ้มสูตรเด็ด ขอมาเลยตามที่อยู่นี้เลย  เมื่อได้น้ำจิ้มแล้ว ก็ทำการเอามาเสียบไม้ ไม้เสียบขายทั่วไปตามตลาด แช่ใส่กล่องโฟมที่มีน้ำแข็ง ทำน้ำจิ้ม และน้ำซอทสำหรับหมักปลาหมึก เป็นอันเรียบร้อย รอเวลาขายได้เลย (ช่วงเวลาที่น่าขาย วันธรรมดา สามโมงเย็นเป็นต้นไป ถ้าวันหยุดก็จัดไปเลย เจ็ดโมงเช้าเป็นต้นไป

รายได้และกำไร
เรื่องของรายได้และกำไรจะจำแนกออกดังนี้
รายได้ทั้งหมด เริ่มจาก ปลากหมึกที่รับซื้อมา 10 กิโลต่อวัน จะมากกว่านี้ก็ได้ ถ้าขายดี แต่ที่เคยไปรับมาต่อวันจะประมาณนี้(จะยกตัวอย่างเป็นปลาหมึกกระดอง)

1 รับซื้อมาละกิโล 65 บาท มีประมาณ 3-4 ตัว ขายตัวละ 40-60 บาท (ขนาดตัวนี้น่าจะประมาณ 1 ฝ่ามือ ได้) ราคาขายนี้จะขายมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ เคยขายระหว่าง 70 – 100 บาท ก็ยังขายได้ ตกประมาณ 230 บาทต่อกิโล
2 10 กิโล ก็ประมาณ 2,300 บาท เลยทีเดียว หักต้นทุนออก 1,000 บาท
ก็จะมีกำไรต่อวันประมาณ 1,000 บาทต่อวัน ( นี่เป็นเวลาที่ขายตั้งแต่บ่ายสามโมงเป็นต้นไป)

ข้อเสนอแนะ
รายได้และกำไรขึ้นอยู่กับทำเล และต้นทุนของเรา
เป็นอย่างไรกันบ้าง ใครที่สนใจหรือ อยากสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ก็ตามที่อยู่ e-mail ข้างต้นได้
ไว้มีโอกาสจะนำมาฝากกันอีก